วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ

หว้ากอ...

ประวัติความเป็นมา หว้ากอ...เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงพิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันที 18 สิงหาคม 2411 ซึ่งทรงคำนวนไว้ล่วงหน้าถึง 2 ปี เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ พระองค์ทรงใช้พระปรีชาสามารถนำความรู้วิชาการด้านวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ นำการเมืองทำให้ประเทศชาติปลอดภัย ไม่ตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจคณะรัฐมนตรีมีมติความเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2532 ให้ดำเนินโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้าฯและในวันที่ 3 พฤษภาคม 2533 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานนามว่า “อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งเป็นสถานศึกษา สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2536อาคารดาราศาสตร์ อาคารดาราศาสตร์ ประกอบด้วยอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกัน คือ อาคารพันทิวาทิต พันพินิจจันทรา ดาราทัศนีย์ มีฐานการเรียนรู้ 11 ฐานการเรียน ได้แก่ บันทึกเกียรติยศ, โลกอนาคต, เทคโนโลยีเพื่ออาชีพ, โลกของเด็ก, ฟากฟ้า ณ หว้ากอ, พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย, มนุษย์กับดวงดาว, พระมหากษัตริย์ราชวงศ์ไทยกับดาราศาสตร์, รวมใจชาวประจวบ, ความเป็นไปในจักวาลและเทคโนโลยีอวกาศและเอกภพพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ สัมผัสกับมหัศจรรย์โลกใต้น้ำ มีทั้งสีสันความสวยงามของสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มในมิติใหม่ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ ภายในแบ่งพื้นที่เป็น 6 ส่วน คือ ส่วนอัศจรรย์โลกสีคราม, ส่วนจากขุนเขาสู่สายน้ำ, ส่วนสีสันแห่งท้องทะเล, ส่วนเปิดโลกใต้ทะเล, ส่วนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและส่วนกิจกรรมปฏิบัติการกิจกรรมค่ายหว้ากอ 1. พบกับบรรยากาศแบบสบายๆ เป็นกันเอง ได้ทั้งความรู้ความสนุกสนาน ได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน การรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี มีความสามัคคี การตรงต่อเวลาและอื่นๆ อีกมากมาย 2. พบกับกิจกรรมหลากหลาย เช่น พิธีถวายสักการะรัชกาลที่ 4 กิจกรรมดูนก ดูดาว กิจกรรมศึกษาฐานการเรียนรู้ กิจกรรม Walk Rally กิจกรรมชายหาด กิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ฯลฯนอกจากนี้ยังมี big tank และอุโมงค์ปลา ที่มีสัตว์น้ำต่างๆ ให้เราได้เรียนรู้ และเห็นถึงความแตกต่างของสรรพสิ่งในระดับความลึกของน้ำราวดำดิ่งสู่ก้นทะเลลึก จากนั้นไปต่อกันที่อุโมงค์ปลาซึ่งเป็นแห่งแรกในเมืองไทย ให้คุณสัมผัสดุจดั่งกำลังเดินอยู่ใต้ท้องทะเลเลยทีเดียว 3. มีที่พักสะอาดบรรยากาศติดทะเล สามารถรองรับสมาชิกได้ประมาณครั้งละ 120-200 คน มีทั้งห้องพักและเต้นท์ ห้องพักเป็นแบบห้องพักรวม แยกชายหญิง ห้องพักพัดลม มีห้องน้ำอยู่นอกห้องพักหลังอาคารพัก 4. มีอาหาร น้ำดื่ม บริการในราคาแบบเป็นกันเองหลักสูตรที่เปิดให้บริการในปัจจุบัน1. ค่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี2. ค่ายสิ่งแวดล้อม3. ค่ายสอนน้องดูดาว4. ค่ายปักษี5. ค่ายอนุรักษ์พลังงาน6. ค่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต7. ค่าสำหรับเด็กพิการ8. ค่ายครอบครัว9. ค่ายทักษะชีวิต ค่าใช้จ่ายในการเข้าค่ายตลอดหลักสูตร 3 วัน 2 คืน รวมค่าอาหาร ที่พัก วัสดุอุปกรณ์และค่าตอบแทนวิทยากรประมาณ 250-300 บาท/คนสามารถจองค่ายและสอบถามรายละเอียดได้ที่ งานการตลาด โทร. 032 6..., 03..., 03... ในวันและเวลาราชการสวนผีเสื้อ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผีเสื้อพันธุ์พื้นเมืองให้คุณได้ชื่นชมมากกว่า 20 ชนิด บรรยากาศภายในสวนร่มรื่น มีมุมนั่งพักผ่อนชมปลาแหวกว่ายเวียนวน และดูน้ำตกสวยๆ เพียบพร้อมด้วยเกร็ดความรู้ให้คุณได้ศึกษา เกี่ยวกับวงจรชีวิตผีเสื้อในห้องจัดแสดงวงจรชีวิตผีเสื้อ ซึ่งคุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิตของผีเสื้อครบทั้ง 4 ระยะ นอกจากนี้ยังมีศาลาแห่งชีวิตและมีตัวอย่างผีเสื้อที่เก็บรักษาไว้ให้คุณได้ศึกษาอีกด้วยเวลาทำการ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดให้ประชาชนเข้าชมทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. การเข้าชมเป็นหมู่คณะ : สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ ชมรม สมาคมฯ ประสงค์เข้าชมเป็นหมู่คณะ โปรดทำหนังสือติดต่อล่วงหน้าในเวลาราชการ โดยทำหนังสือส่งถึง : ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หมู่ 4 ต.คลองวาฬ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ 77000 โทร. 032 661 098 , 032 661 726 , 032 661 104 โทรสาน. 032 661 727 www.nfe.go.th/waghor E-mail : waghor@hotmail.com(คัดลอกจากเอกสารอุทยานวิทยาศสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์)





เมื่อ 100 กว่าปี ล่วงมาแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 18 สิงหาคม 2411 จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนชาวไทยและทั่วโลก ได้ทราบถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ จึงถวายพระราชสมัญญานามแด่พระองค์ว่า "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไดัรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาวางศิลาฤกษ์ใน วันที่14 กันยายน 2525 และต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติให้ ดำเนินการโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่ปี 2532 จนกระทั่งกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศจัดตั้งเป็นสถานศึกษาสังกัดการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2536สถานที่ตั้ง อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (อวจ.) ตั้งอยู่ริมอ่าวหว้ากอ หมู่ 4 ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รหัสไปรษณีย์ 77000 บริเวณกิโลเมตรที่ 335 ถนนเพชรเกษม ห่างจากตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ ไปทางทิศใต้ ประมาณ 10 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 314 กิโลเมตร มีเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินจำนวน 485 ไร่ 1 งาน 56.2 ตารางวา อยู่ติดชายทะเลบริเวณอ่าวหว้ากอ มีชายหาดยาว 2.7 กิโลเมตร ขนานทางรถไฟสายใต้ สามารถติดต่อทางโทรศัพท์ หมายเลข (032) 661098 , 661726-7,661103 โทรสาร ต่อ 133พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ตั้งขึ้นตามแผนหลักของโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ และวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลธรรมชาติวิทยาและสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เริ่มดำเนินดารก่อสร้าง มาตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2543 กำหนดแล้วเสร็จ ในวันที่ 27 มีนาคม 2545 ใช้งบประมาณ ในการก่อสร้างจำนวน 164 ล้านบาท หลังจากก่อสร้างเสร็จก็จะจัด นิทรรศการและการแสดง ภายในเวลา 1 ปี การบริหารจัดการจะเป็นการดำเนินการร่วมกับภาคเอกชน คาดว่าจะเปิดบริการให้เข้าชมได้ในปี 2547 พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษา สิ่งมีชีวิตในน้ำทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือ อย่างดีจากกรมประมงและสถาบัน วิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพาการเดินทางไปอุทยานวิทยาศาสตร์ ทางรถยนต์ จากกรุงเทพฯ ท่านสามารถขับรถโดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 ( สายธนบุรี ปากท่อ ) ผ่านทาง จังหวัดสมุทรสงคราม แล้วเลี่ยวซ้าย สู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ( ถนนเพชรเกษม) ผ่านจังหวัด เพชรบุรี และอำเภอหัวหิน มุ่งสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมระยะทาง 281 กิโลเมตร หรืออาจจะเดินทาง จากกรุงเทพ มาทางสายพุทธมณฑล ผ่านจังหวัดนครปฐม ราชบุรี แล้วมุ่งสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ด้วยระยะทางประมาณ 320 กิโลเมตร ต่อจากนั้นเดินทางต่อไปยังอุทยานวิทยาศาตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร รถโดยสารประจำทาง สามารถเดินทางได้โดยรถประจำทางธรรมดาและรถประจำทางปรับอากาศ จากสถานีขนส่งสายใต้ โดยรถประจำทางสายกรุงเทพ-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีรถออกเดินทางวันละหลายเที่ยว ทางรถไฟ เดินทางออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ ถึงประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีขบวนรถเดินทางวันละ 9 เที่ยว



ในพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากกรมประมง และสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา นำมาจัดแสดงได้อย่างน่าสนใจ
โดยภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการจำลองระบบนิเวศ จากขุนเขาสู่สายน้ำ ความสัมพันธ์ของป่าไม้ สายน้ำ ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด จากต้นน้ำสู่ทะเล เชื่อมโยงสิ่งมีชีวิตต่างๆ จัดแสดงพันธุ์ปลาน้ำจืดหลากหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์ปลาน้ำจืดของไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ พันธุ์ปลาที่มีอวัยวะพิเศษช่วยหายใจ พันธุ์ปลาน้ำจืดสวยงามทั้งของไทยและต่างประเทศ
ซึ่งเมื่อเริ่มเดินเข้าไปจากจุดเริ่มของอาคาร จะพบตู้แสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางการจำลองระบบนิเวศที่เหมือนของจริง โดยมีปลาแหวกว่ายให้ดูอย่างสวยงาม เช่น ปลาพลวง ปลาเวียน ปลามูส ปลาเลียหิน ปลาไส้ขม ฯลฯ พร้อมป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ชนิดต่างๆอย่างละเอียด
นอกจากนี้ก็ยังมีสัตว์อื่นด้วย เช่น ปูเจ้าฟ้า ปูราชินี ปูคีรีขันธ์ และพรรณไม้น้ำ เช่น เฟิร์น มอส คริบโตคลอรีน เป็นต้น
ส่วนสัตว์น้ำในระบบนิเวศแหล่งต้นน้ำ เช่น ปลาเลียหิน ปลาไส้ขม ปลาซิวข้างขวาน ปลาสร้อยน้ำผึ้ง สัตว์น้ำในระบบนิเวศน้ำจืด เช่น ปลาหมอช้างเหยียบ ปลาพรมหัวเหม็น ปลาหัวตะกั่ว ระบบนิเวศแหล่งน้ำใหญ่เป็นแหล่งน้ำไหลประเภทแม่น้ำลำคลองบริเวณน้ำตื้น เช่น ปลาตะเพียนทอง ปลาเสือพ่นน้ำ ปลากระทิงไฟ ปลาเนื้ออ่อน ปลาบ้า ปลาแปปควาย ปลาหัวตะกั่ว ปลาน้ำเงิน ปลากระแห ฯลฯ
สำหรับปลาน้ำจืดที่ไม่มีเกล็ดของไทย เช่น ปลาแค่ ปลาสายยู ปลาแขยงธง ปลาบึก พันธุ์ปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดของไทย เช่น ปลาสร้อยนกเขา หรือปลาขี้ขม ปลากระสูบขีด ปลากาดำ ปลาสร้อยขาว
ปลาน้ำจืดของไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ เช่น ปลาหางไหม้ ปลายี่สกไทย ปลากระโห้ ปลาสะตือ พันธุ์ปลาที่มีอวัยวะพิเศษช่วยหายใจ เช่น ปลาแรด ปลาหมอไทย ปลากะสง ปลาชะโด พันธุ์ปลาน้ำจืดสวยงามของไทย เช่น ปลากาแดง ปลาทรงเครื่องหางแดง ปลากระดี่นางฟ้า และพันธุ์ปลาน้ำจืดสวยงามต่างประเทศ เช่น ปลาสอด ปลาเซลฟิน ปลาบอลลูน ปลาหมูอินโด ฯลฯ

นอกจากพันธุ์ปลา สัตว์น้ำที่สวยงามแล้ว ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ป่าชายเลน หาดทราย หาดหิน ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ด้วยระบบแสงสีเสียง และจัดแสดงพันธุ์ปลานานาชนิด เช่น สัตว์น้ำในระบบนิเวศป่าชายเลน สัตว์น้ำในระบบนิเวศหาดทราย - หาดหิน สัตว์น้ำในแหล่งหญ้าทะเล และสัตว์น้ำในแนวปะการังฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน
มีการจัดแสดงสภาพป่าชายเลน ที่ขึ้นอยู่ในเขตน้ำลงต่ำสุดและน้ำขึ้นสูงสุด บริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำ หรืออ่าว จัดเป็นเขตน้ำกร่อย พรรณไม้ที่ขึ้น ได้แก่ โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ โกงกางหัวสุม แสม ลำพู ลำแพน เป็นต้น ทำให้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เป็นที่วางไข่ แหล่งอาหาร และเจริญเติบโตของสัตว์น้ำนานาชนิด เป็นแหล่งผลิตอาหารโปรตีน ที่สำคัญเป็นแหล่งอาหาร ที่หลบภัย ตลอดจนที่ขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำนานาชนิด ในธรรมชาติท้องน้ำด้วย
หากเดินเข้าไปถึงส่วนกลางของอาคาร จะพบพื้นที่แสดงสัตว์ในป่าโกงกาง เช่น พวกที่อาศัยอยู่ตามพื้นผิวดิน ได้แก่ ปลาตีน ปูเสฉวน หอยทะเลบางชนิด พวกที่อยู่ตามใต้ผิวดิน ได้แก่ ไส้เดือนทะเล ปูแสม ปูก้ามดาบ กุ้งดีดขัน พวกที่อยู่ในน้ำ ได้แก่ กุ้งแชบ๊วย กุ้งกุลาดำ ปลานวลจันทร์ทะเล ปลากะพงขาว ปลาเก๋า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์น้ำในระบบนิเวศป่าชายเลน ที่หลากหลายอีกเช่น ปลาตะกรับเสือดาว ปลาเฉี่ยว ปลากระบอก สัตว์น้ำในระบบนิเวศหาดทราย หาดหิน เช่น ปูหนุมาน แมงดาทะเล ปลากระบอกหูดำ ปลากะรังหัวโขน เม่นทะเล ดาวมงกุฎหนาม ปลาฉลามกบ ฯลฯ
หากมีเวลาในการศึกษาเรียนรู้จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนี้อุทยานฯยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีก อาทิ กิจกรรมค่ายหว้ากอ ดูนก ดูดาว กิจกรรมศึกษาฐานการเรียนรู้ Walk Rally กิจกรรมชายหาด ฯลฯ หากผู้ที่สนใจสามารถสอบถามได้ที่ โทร.032-661-098, 032-6... , 032-6... ในวันและเวลาราชการ

ขนมไทย

ประวัติขนมไทย

สมัยสุโขทัย ขนมไทยมีที่มาคู่กับชนชาติไทย จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศคือ จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย
สมัยอยุธยา เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า"
"ท้าวทองกีบม้า" หรือ "มารี กีมาร์" เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่นานนัก
ชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทองพระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้
ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย"

ความหมายของคำที่ใช้ในการประกอบขนมหวานไทย

การประกอบขนมหวานไทย มีหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของขนมนั้น ๆ ว่าจะประกอบด้วยวิธีการแบบใดให้ขนมสำเร็จออกมาแล้วน่ารับประทาน ตัวอย่างวิธีการประกอบขนมหวานไทย คือ
1. ต้ม หมายถึง การนำอาหารใส่หม้อ พร้อมกับน้ำหรือกะทิ ตั้งไฟให้เดือดจนสุกตามความต้องการ การทำขนมที่ต้องต้ม และเป็นขนมที่ใช้ใบตองห่อ ต้องห่อให้สนิท ใบตองต้องไม่แตก เช่น ข้าวต้ม น้ำวุ้น แกงบวด ถั่วเขียวน้ำตาล ฯลฯ
2. หุง หมายถึง การทำอาหารที่ให้สุก โดยนำของที่ต้องการหุงใส่ลงในหม้อพร้อมกับน้ำ ตั้งไฟจนน้ำแห้ง จึงลดไฟให้อ่อนลง แล้วดงให้แห้งสนิท
3. นึ่ง หมายถึง การทำอาหารให้สุก โดยใช้ไอน้ำ โดยใส่ขนมลงในลังถึง ปิดฝาตั้งไฟให้น้ำเดือดนึ่งจนขนมสุก ส่วนมากจะเป็นขนมที่มีไข่ เป็นส่วนผสม เช่น ขนมสาลี ขนมทราย ขนมชั้น ขนมสอดไส้ ฯลฯ การใช้เวลานึ่งและความร้อนต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของขนมนั้น ๆ4. ทอด หมายถึง การทำอาหารให้สุกด้วยน้ำมัน โดยใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อนทั่วแล้ว จึงจะใส่ขนมที่จะทอดลงไป ขนมบางชนิดใช้น้ำมันมาก เรียกว่า ทอดน้ำมันลอย ใช้ไฟปานกลางสม่ำเสมอ บางชนิดใช้น้ำมันน้อย ใช้กระทะก้นตื้น ดังนั้นการทอดจึงใช้กระทะตามลักษณะของขนมแต่ละชนิด การทอดถ้าใช้ไฟอ่อนมาก ขนมจะอมน้ำมัน จึงควรจะระมัดระวังด้วย ขนมที่ทอด เช่น ขนมฝักบัว ขนมทองพลุ ข้าวเม่าทอด ฯลฯ
5. จี่ คือ การทำขนมให้สุกในกระทะโดยใช้น้ำมันแต่น้อย ใช้น้ำมันทากระทะพอลื่น กระทะที่ใช้จะเป็นกระทะเหล็กหล่อแบน กว้าง เนื้อเหล็กหนา การจี่ใช้ไฟอ่อน ตั้งกระทะให้ความร้อนรุมอยู่ตลอดเวลา และกลับขนมให้เหลืองเสมอกันทั้งสองด้าน เช่น ขนมแป้งจี่
7. ปิ้ง หมายถึง การทำอาหารให้สุก โดยการวางขนมที่ต้องการปิ้งไว้เหนือไฟ มีตะแกรงรองรับไฟไม่ต้องแรงนัก กลับไปกลับมาจนขนมสุก อาหารบางชนิดใช้ใบตองห่อ แล้วปิ้งจนใบตองที่ห่อเกรียบหรือกรอบ เช่น ขนมจาก ข้าวเหนียวปิ้ง ก่อนที่จะปิ้งใช้ขี้เถ้ากลบไว้เพื่อให้ไฟร้อนสม่ำเสมอกัน
8. ผิงและอบ ขนมที่ใช้ผิงมีหลายชนิด จะใช้ผิงด้วยไฟบน และไฟล่าง ไฟจะต้องมีลักษณะอ่อนเสมอกันปัจจุบันใช้เตาอบแทนการผิง เช่น ขนมหม้อแกง ขนมสาลี่กรอบ ขนมผิง ฯลฯ
9. กวน เริ่มต้นกวนตั้งแต่ขนม ยังเป็นของเหลว ในขณะที่ขนมยังเหลว ส่วนที่ควรระมัดระวังเวลากวน คือก้นกระทะต้องหมั่นใช้ไม้พายขูดกลับไปกลับมา เพื่อไม่ให้ส่วนผสมติดก้นกระทะ ระยะขนมรวมตัวกันแล้ว ให้คนไปทางเดียวกัน ต้องคอยระวังก้นกระทะ ขนมจะไหม้หากกวนไม่ทั่ว ไม่ควรปล่อยให้ขนมจับปากกระทะ หมั่นขูดอยู่เสมอ พายที่ใช้ควรมีขนาดพอเหมาะ กับส่วนผสมในกระทะ และความถนัดในการใช้ เช่น ถั่วกวน เผือกกวน กล้วยกวน
10. คลุก คือ การผสมของตั้งแต่สองอย่างขึ้นไป ให้เข้ากัน เช่น ข้าวเม่าคลุก การคลุกควรใช้ช้อนส้อม พายไม้ คลุกเบาๆ พอให้ขนมรวมกัน และมีรสเสมอกัน
11. ตีไข่ คือ การทำไข่ให้ขึ้น มีหลายขนาด การตีไข่ให้ได้ผล ควรตีให้มีจังหวะสม่ำเสมอ ไม่หยุดมือจนกว่าไข่จะขึ้นฟู และอยู่ตัวตามต้องการ ถ้าตีแล้วหยุดบ่อย ๆ จะทำให้ไข่เสียได้12. คน หมายถึง การคนขนมที่ประกอบด้วยเครื่องปรุงที่เป็นแป้ง ส่วนผสมชนิดอื่น ๆ จะกวนหรือนึ่ง ควรได้มีการคนเสียก่อน เพื่อให้แป้งรวมตัวกับส่วนผสมอื่น แล้วจึงตักใส่ภาชนะนึ่ง หรือใส่กระทะกวน
13. คั่ว หมายถึง การทำให้สุก โดยใช้อาหารลงในกระทะ แล้วใช้ตะหลิวเขี่ยวัตถุนั้น ๆ ให้กลับไปกลับมา เช่น คั่วงา ไฟที่ใช้ในการคั่ว ไม่ควรใช้ไฟแรง จะทำให้อาหารไหม้
14. แซะ คือ การทำให้วัตถุที่ติดอยู่กับภาชนะหลุดออกจากภาชนะ โดยใช้เครื่องมือที่มีลักษณะปากแบน ปลายคม เช่น แซะขนมเบื้อง ค่อย ๆ แซะแผ่นแป้งให้หลุดจากกระทะ โดยแซะไปรอบ ๆ ขนม
15. ละเลงคือ การกระจายของเหลวให้แผ่ออกเป็นวงกว้าง เช่น ละเลงขนมเบื้อง โดยจะใช้กระจ่าที่ทำด้วยกะลามะพร้าวแบน ๆ มีด้ามถือ ตักแป้งที่มีลักษณะเหลว หยดลงในกระทะ ใช้กระจ่าวางลงตรงกลางแป้ง ใช้มือกดให้วนไปโดยรอบ จนแป้งจับกระทะเป็นแผ่นตามต้องการ16. ยี คือ การทำให้วัตถุที่จับเป็นก้อนก่อนกระจายออกจากกัน เช่น การยีแป้งขนมขี้หนู หลังจากการใส่น้ำเชื่อม จนแป้งระอุ และอิ่มน้ำเชื่อมแล้ว ต้องทำขนมให้ฟู โดยการยีเบา ๆ มือ ให้แป้งกระจายออกจากกัน จนเนื้อละเอียด
17. ร่อนคือ การแยกวัตถุที่มีเนื้อหยาบ ออกจากส่วนละเอียดหรือเกี่ยวกับการทำขนมเช่น ขนมละอองลำเจียก ใช้แป้งข้าวเหนียวที่นวดกับหัวกะทิหมาด ๆ ใส่แร่งร่อนในกระทะให้จับเป็นแผ่น บรรจุไส้ม้วนให้สวย
วัตถุดิบที่ใช้ประกอบการทำขนมไทย

ขนมหวานไทย มีรสหวานเป็นหลัก บางชนิดก็มีรสหวานจัด บางชนิดก็มีรสหวานอ่อน ๆ วัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบขนมหวานไทย ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล แป้ง กะทิ เป็นหลัก
1. น้ำตาล
ชนิดของน้ำตาลที่ใช้ในการประกอบอาหารมีหลายลักษณะ ความสำคัญของน้ำตาลกับขนมหวานโดยคือ
ทำให้อาหารมีรสหวาน เช่น เพิ่มความอร่อย
ทำให้แป้งนุ่น อาหารอร่อยใสขึ้น
ตกแต่งให้อาหารสวยงาม เคลือบไม่ให้อาหารแห้ง
ทำให้อาหารมีสีสวย มีกลิ่นหอม น้ำตาลที่ใช้ในการประกอบขนมหวานไทย คือ 1.1 น้ำตาลทราย เป็นน้ำตาลที่เป็นผลึก ทำจากอ้อย น้ำตาลทรายจะมีสองสี สีขาว คือน้ำตาลที่ถูกฟอกจนมีสีขาวและแข็งสะอาดละลายน้ำยาก ส่วนน้ำตาลทรายสีแดง คือน้ำตาลทรายที่ไม่ได้ฟอกให้ขาวจึงมีกลิ่นหอม จะมีเกลือแร่ และวิตามินเหลืออยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะไม่นิยมใช้น้ำตาลทรายแดง ยิ่งสีเข้ม แสดงว่ามีสารอื่นป่นอยู่มาก ส่วนใหญ่จะไม่นิยมใช้น้ำตาลทรายแดงทำขนมหวาน นอกจากขนมบางอย่าง เพื่อให้การทำอาหารสะดวกขึ้น น้ำตาลทรายออกมาขายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสะดวกในการใช้ เช่น
น้ำตาลไอซิ่ง ได้จากน้ำตาลทรายขาวธรรมดา นำมาบดให้ละเอียดอ่อน เอาเฉพาะส่วนที่ป่นละเอียดเหมือนแป้ง ใส่แป้งข้าวโพดหรือแป้งมันมันลงไป 3 เปอร์เซนต์ เพื่อกันไม่ให้น้ำตาลจับกันเป็นก้อน
น้ำตาลป่น คือน้ำตาลทรายธรรมดาที่เอามาป่นให้ละเอียด แต่ไม่เท่ากับน้ำตาลไอซิ่ง การป่นน้ำตาลเพื่อให้ผสมเข้ากับเครื่องปรุงได้ง่าย
1.2 น้ำตาลไม่ตกผลึก(น้ำตาลปีบ)
ได้แก่ น้ำตาลโตนด น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทั้งสองชนิดนี้ นิยมทำขนมหวานไทย เช่น แกงบวด ขนมหม้อแกงสังขยา ฯลฯ เป็นต้น เพราะให้ความหอมหรือเคี่ยวทำน้ำเชื่อมชนิดข้นไว้หยอดหน้าขนม โดยบางชนิด เช่น ขนมเหนียว ขนมนางเล็ด ฯลฯ
1.3 น้ำเชื่อม
ในการทำขนมหวานไทย เราจะทำน้ำเชื่อมเองไม่นิยมชื้อน้ำเชื่อมเป็นขวดมาใช้ จะเริ่มต้นตั้งแต่ละลายน้ำตาลกับน้ำ ตั้งไฟเคี่ยวให้เดือด การทำน้ำเชื่อมให้ขาว คือฟอกสีน้ำตาล โดยใช้เปลือกไข่ฟอกกับน้ำตาลตั้งไฟพอละลายแล้วกรองนำไปตั้งไฟต่อ เคี่ยวจนได้น้ำเชื่อม เหนียวข้นตามต้องการเพื่อนำมาทำขนมชนิดต่าง ๆ
แป้งที่ใช้ในการประกอบขนมหวานไทย 2.1 แป้งข้าวเจ้า (Riceflour)
เป็นแป้งที่ทำจากเมล็ดข้าวเจ้า มีลักษณะเป็นผงมีสีขาวจับแล้วสากมือเล็กน้อย เมื่อทำให้สุกจะมีลักษณะขุ่นร่วน ถ้าทิ้งให้เย็นจะอยู่ตัวเป็นก้อน ร่วนไม่เหนียว จึงเหมาะที่จะประกอบอาหาร ที่ต้องการความอยู่ตัวร่วนไม่เหนียวหนืด เช่น ขนมขี้หนู ขนมกล้วย เส้นขนมจีน ฯลฯ สมัยก่อนนิยมโม่กันเอง โดยล้างข้าวสารก่อน แช่ข้าวโดยใส่น้ำให้ท่วมแช่จนข้าวนุ่ม จะโม่ง่าย ในปัจจุบันนิยมบดด้วยเครื่องบดไฟฟ้าบดให้ละเอียดแล้วจึงห่อผ้าขาวบางทับน้ำทิ้งจะได้แป้งข้าวเจ้าเรียกแป้งสด
2.2 แป้งข้าวเหนียว (Glutinous Riceflour)
เป็นแป้งที่ทำมาจากเมล็ดข้าวเหนียว ที่มีลักษณะเป็นผงสีขาว จับแล้วสากมือเล็กน้อย เมื่อนำไปทำให้สุกจะมีลักษณะขุ่นข้น เหนอะหนะ พอแป้งถูกความร้อนจะจับตัวเป็นก้อนค่อนข้างเหนียว เหมาะในการนำมาประกอบอาหารที่ต้องการความเหนียวเกาะตัว เช่น ขนมเทียน ขนมถั่วแปบ ขนมต้ม ฯลฯ
2.3 แป้งมันสำปะหลัง (Cassave Starch)
ทำมาจากหัวมันสำปะหลัง มีลักษณะเป็นผงสีขาว จับผิวสัมผัสของแป้งจะเนียน ลื่นมือ เมื่อทำให้สุกจะเหลวเหนียวหนืดและใช้ เมื่อพักให้เย็นจะมีลักษณะเหนียวเหนอะหนะคงตัว นิยมนำมาผสมกับอาหารที่ต้องการความเหนียวหนืดและใส เช่น ทับทิมกรอบ เต้าส่วน ฯลฯ ในการทำขนมหวานไทยนิยมนำแป้งมันสำปะหลังมาผสมกับแป้งชนิดอื่น ๆ เพื่อให้ขนมมีความเหนียวนุ่มกว่าการใช้แป้งชนิดเดียว เช่น ขนมชั้น ขนมฟักทอง ขนมกล้วย ฯลฯ
2.4 แป้งข้าวโพด (Corn Starch)
เป็นแป้งที่สกัดมาจากเมล็ดข้าวโพด มีลักษณะเป็นผงสีขาวเหลืองนวลจับแล้วผิวสัมผัสของแป้งเนียนลื่นมือเมื่อทำให้สุก จะมีลักษณะข้นและใสไม่คืนตัวง่าย เมื่อเป็นตัวแป้งจะอยู่ตัวจับเป็นก่อนแข็งร่วนเป็นมันวาว ในขนมหวานไทย นิยมนำมาผสมกับอาหารเพื่อต้องการความข้นอยู่ตัว เมื่อสัมผัสดูเนื้อแป้งเนียนละเอียดลื่น
2.5 แป้งถั่วเขียว (Mung bean Starch)
เป็นแป้งที่สกัดมาจากถั่วเขียว เมล็ดแห้งมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ จับผิวสัมผัสแล้วจะสากมือ ก่อนใช้ควรนำมาบดให้เป็นผงก่อน เมื่อทำให้สุกจะมีลักษณะข้นค่อนข้างใส เมื่อพักให้เย็นจะจับตัวเป็นก้อนแข็งอยู่ตัวค่อนข้างเหนียว เหมาะในการทำอาหารที่ต้องการความใสอยู่ตัว เช่น ซาหริ่ม ขนมลืมกลืน ฯลฯ
2.6 แป้งท้าวยายม่อม (Arrowroot Starca)
สกัดมาจากหัวมันท้าวยายม่อม มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ สีขาวเป็นเงา เวลาใช้ต้องบดให้ละเอียดเป็นผงเมื่อนำไปประกอบอาหารจะให้ความข้นเหนียวหนืดและใส เมื่อทำให้เย็นจะเหนียวตัวกว่าแป้งมันสำปะหลัง นิยมนำมาใช้ร่วมกับแป้งชนิดอื่น ๆ เพื่อให้ได้อาหารที่มีความข้นเหนียว เป็นมันวาว เช่น ขนมชั้น ขนมน้ำดอกไม้ ฯลฯ
2.7 แป้งสาลี (Wheat Flour)
ทำจากเมล็ดข้าวสาลี ลักษณะเป็นผงมีสีขาวเมื่อทำให้สุกจะมีลักษณะร่วนเหลว ไม่อยู่ตัวคุณภาพของแป้งสาลีขึ้นอยู่กับปริมาณโปรตีนในเมล็ดขาวสาลี ซึ่งทำให้ได้ลักษณะของขนมต่างกัน แป้งสาลียังแบ่งออกเป็นชนิดต่าง ๆ ตามคุณสมบัติของแป้งคือ
แป้งสาลีสำหรับทำขนมปัง (Bread Flour) ทำจากข้าวสาลีชนิดหนัก มีปริมาณโปรตีน 12-13เปอร์เซนต์ แป้งมีสีขาวนวล เมื่อสัมผัสผิวแป้งจะหยาบกว่าแป้งสาลีชนิดอื่น ปริมาณโปรตีนสูง ทำให้แป้งขนมปังสามารถดูดน้ำได้มาก มีความยืดหยุ่น เหนียว เหมาะสำหรับการทำขนมปัง ปาท่องโก๋ (แต่แป้งชนิดนี้ไม่นิยมนำมาขนมหวานไทย ส่วนใหญ่ใช้ทำขนมอบ)
แป้งสาลีอเนกประสงค์ (All purpose Flour) ทำจากข้าวสาลีชนิดหมัก และชนิดเบาผสมรวมกัน มีโปรตีน 9-10 เปอร์เซนต์ แป้งมีสีขาวนวล ลักษณะหยาบแต่น้อยกว่าแป้งขนมปัง ให้ความเหนียวพอควร แต่คุณภาพจะสู้แป้งขนมปังไม่ได้ ใช้ทำผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด เช่น คุกกี้ พาย กรอบเค็ม กะหรี่พัฟ
แป้งสาลีสำหรับทำเค้ก (Care Flour) ทำจากข้าวสาลีชนิดเบา มีปริมาณโปรตีน 6-9 เปอร์เซนต์สีขาวเนื้อแป้งละเอียด เมื่อนำมาผสมน้ำจะดูดซึมน้ำได้น้อยได้ก้อนแป้งที่เหนียวติด คือ เหมาะสำหรับทำขนมสาลี ขนมฝรั่ง ขนมเค้ก ฯลฯ
3. กะทิ
กะทิได้จากมะพร้าว ขนมไทยนิยมใช้กะทิที่คั้นเองจากมะพร้าวขูดใหม่ๆ ถ้าคั้นกะทิจากมะพร้าวที่มีกลิ่นจะทำให้กลิ่นของขนมเสีย ทั้งกลิ่นและรสอาจเปรี้ยว แก้ไขได้ยาก ไม่สามารถจะกลบกลิ่นของกะทิได้ แม้แต่นำไปตั้งไฟกวน มะพร้าวเมื่อซื้อมา ถ้ายังไม่ใช้ ควรเก็บในตู้เย็น หรือต้องคั้นเป็นกะทิทันที และทำให้ร้อนหรือให้สุกก่อนถ้าต้องการเก็บไว้ยังไม่ใช้ทันที การคั้นมะพร้าวเพื่อให้ได้หัวกะทิ จะนวดมะพร้าวก่อนใส่น้ำร้อนหรือน้ำสุกแต่น้อยนวดน้ำในมะพร้าวออกมา จะได้หัวกะทิข้นขาวในการทำขนมหวานโดยต้องการใช้หัวกะทิข้น ๆ เพื่อให้ขนมน่ารับประทาน ผู้ประกอบขนมหวานไทยจึงควรมีความรู้เรื่องการคั้นมะพร้าวให้ได้กะทิที่ข้น
4. กลิ่น
กลิ่นที่ใช้ในการทำขนมหวานไทย แต่ก่อนจะใช้ดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอม เช่น ดอกมะลิ กระดังงา ฯลฯ นำมาอบร่ำในน้ำสะอาด เพื่อให้น้ำมีกลิ่นหอม แต่ในปัจจุบันภาวะสิ่งแวดล้อมได้เปลี่ยนไป ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ ใช้ยาฆ่าแมลงฉีด เพื่อให้มีความคงทนและนำมาซึ่งอันตรายต่อผู้บริโภค จึงมีกลิ่นวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย เช่น กลิ่นมะลิกลิ่นใบเตย ฯลฯ
5. เกลือ
ในขนมหวานไทย เกลือให้รสเค็มมีบทบาทสำคัญ ทำให้ขนมเกิดรสชาติน่ารับประทานขึ้น เพราะเมื่อนำไปผสมกับกะทิ หรือมะพร้าว
6. สารช่วยให้ขึ้น
ขนมโดยมีความจำเป็นในการใช้สารช่วยขึ้นน้อย วิธีการทำ และส่วนผสม มีส่วนช่วยทำให้ขนมขึ้นโดยธรรมชาติ เช่นการทำปุยฝ้าย ขนมตาล ฯลฯ แต่ปัจจุบันลักษณะดั้งเดิมของขนมหวานไทยในท้องตลาดเปลี่ยนไปเพื่อธุรกิจการค้า หน้าตาขนมจะมีความน่ารับประทานขึ้น โดยอาศัยสารทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้แก่ ผงฟู เพื่อทำให้ขนมขึ้นเร็ว และมีลักษณะน่ารับประทาน
7. สีที่ใช้ตกแต่งอาหาร
ขนมหวานไทยบางอย่างไม่จะเป็นต้องใส่สี ก็ให้ความสวยตามธรรมชาติ เช่น ขนมปุยฝ้ายจะมีสีเหมือนชื่อ แต่ถ้าเป็นขนมที่ต้องมีสีจะใช้สีธรรมชาติ เช่น สีเขียวของใบเตย สีม่วงจากดอกอัญชัน สีเหลืองจากขมิ้น สีแดงของครั่ง ฯลฯ ปัจจุบันได้มีสีผสมอาหารที่สามารถรับประทานได้แล้วไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยใช้ในอัตราส่วนที่เหมาะสม ทำขนมหวานไทยให้ดูน่ารับประทานโดยใช้สีอ่อน ๆ
8. ไข่
ไข่ที่ใช้ในการทำขนมหวานไทย จะใช้ทั้งไข่ไก่และไข่เป็ด การนำไข่มาตีให้ขึ้นฟูมากจะเป็นตัวเก็บฟองอากาศช่วยทำให้ขนมโปร่งฟู การเลือกใช้ไข่ ควรใช้ไข่ที่ใหม่และสด

สุราษฎร์ธานี

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดสุราษฎร์ธานี

เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ ชักพระประเพณี
สุราษฎร์ธานี เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ชนพื้นเมือง ได้แก่ พวกเซมัง และมลายูดั้งเดิมซึ่งอาศัยอยู่ในเขตลุ่มน้ำหลวง (แม่น้ำตาปี) และบริเวณอ่าวบ้านดอนก่อนที่ชาวอินเดียจะอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งและเผยแพร่วัฒนธรรม ดังปรากฏหลักฐานในชุมชนโบราณที่ อำเภอท่าชนะ อำเภอไชยา เป็นต้น
ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 13 มีหลักฐานปรากฏว่าเมืองนี้ได้รวมกับอาณาจักรศรีวิชัย เมื่ออาณาจักรนี้เสื่อมลง จึงแยกออกเป็น 3 เมือง คือ เมืองไชยา เมืองท่าทอง และเมืองคีรีรัฐ ขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้ย้ายเมืองท่าทองมาตั้งที่บ้านดอน และยกฐานะเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ พระราชทานนามว่าเมือง “กาญจนดิษฐ์” ครั้นเมื่อมีการปกครองแบบมณฑล ได้รวมเมืองทั้งสามเป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า เมืองไชยา ต่อมา พ.ศ. 2458 รัชกาลที่ 6 โปรดฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองไชยา มาเป็นเมืองสุราษฎร์ธานี แปลว่า เมืองแห่งคนดี
สุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดของภาคใต้ ห่างจากกรุงเทพฯ 685 กิโลเมตร มีพื้นที่ 12,891 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ป่าดิบชื้นที่อุดมด้วยความหลากหลายของพืชพรรณและสัตว์ป่า และยังมีหมู่เกาะที่มีชื่อเสียง น้ำทะเลใส หาดทรายขาว อาทิ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า และเกาะนางยวน ซึ่งแต่ละเกาะมีความหลากหลายของธรรมชาติแตกต่างกันไป
สุราษฎร์ธานีแบ่งการปกครองออกเป็น 18 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอคือ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอพุนพิน อำเภอคีรีรัฐนิยม อำเภอพนม อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอเกาะสมุย อำเภอดอนสัก อำเภอไชยา อำเภอท่าชนะ อำเภอท่าฉาง อำเภอบ้านนาสาร อำเภอพระแสง อำเภอเวียงสระ อำเภอเคียนซา อำเภอบ้านตาขุน อำเภอเกาะพะงัน อำเภอบ้านนาเดิม อำเภอชัยบุรี และกิ่งอำเภอวิภาวดี
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดกระบี่ ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวไทย และจังหวัดนครศรีธรรมราช ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดพังงา และจังหวัดระนอง

หมายเลขโทรศัพท์สำคัญ (รหัสทางไกล 077)
สำนักงานททท.ฯ สุราษฎร์ฯ
โทร. 0 7728 8818-9
ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยว ททท.เกาะสมุย
โทร. 0 7742 0720-2
ประชาสัมพันธ์จังหวัด
โทร. 0 7728 3970
สถานีเดินรถประจำทาง
โทร. 0 7720 0032
สถานีรถไฟสุราษฎร์ฯ
โทร. 0 7731 1213
สนามบินสุราษฎร์ธานี
โทร. 0 7744 1230
สนามบินสมุย
โทร. 0 7742 5011
โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
โทร. 0 7727 2231
โรงพยาบาลสมุย
โทร. 0 7..., 0 ...
โรงพยาบาลเฉวง
โทร.0 7723 0049, 0 7...
ที่ทำการไปรษณีย์
โทร.0 7727 2013,0 7728 1966-7
ตรวจคนเข้าเมือง
โทร. 0 7..., 0 ...
สถานีตำรวจ
โทร. 191, 0 ..., 0 ...
ตำรวจทางหลวง
โทร. 1193
ตำรวจท่องเที่ยว
โทร. 1155, 0 7742 1281




แผนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี


สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดสุราษฎร์

อุทยานแห่งชาติเขาสก
อุทยานแห่งชาติเขาสก จากตัวเมืองสุราษฎร์ธานีใช้เส้นทางสายสุราษฎร์-ตะกั่วป่า(หมายเลข 401)ถึงกิโลเมตรที่ 109 มีทางแยกขวามือ เข้าที่ทำการอุทยานฯประมาณ 1.5 กิโลเมตร เป็นป่าดงดิบชื้น ครอยคลุมพื้นที่ 403,450 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ.2523 ภายในบริเวณมีน้ำตก และถ้ำหลายแห่ง อาทิ น้ำตกสิบเอ็ดชั้น น้ำตกแม่ยาย น้ำตกบางหัวแรด นอกจากนี้ยังมีถ้ำหลายแห่งแต่การคมนาคมไม่สะดวก ต้องเดินป่าเข้าไป มีบริการบ้านพัก สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.589-7223,579-5734


สถานที่ฝึกลิง

สถานที่ฝึกลิง อยู่ในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ ห่างจากตัวเมืองไปทางหลวงหมายเลข 401 ประมาณ 5 กิโลเมตร จะเห็นป้ายอยู่ทางขวามือ "วิทยาลัยฝึกลิงเพื่อการเกษตร" มีการสาธิตและบรรยายหลักสูตรการฝึกลิงกัง ตั้งแต่เริ่มต้นจนสามารถทำงานกับต้นมะพร้าวได้จริง ผู้ประสงค์จะเข้าชมกรุณาติดต่อล่วงหน้าที่ คุณสมพร แซ่โคว้ วิมยาลัยฝึกลิง อ.กาญจนดิษฐ์ โทร.282-074


อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ห่างจากเกาะสมุยไปทางทิศตะวันตกกราว 20 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยเกาะต่างๆราว 40 เกาะ เช่นเกาะนกตะเภา เกาะพะลวย เกาะส้ม ฯลฯ เป็นหมู่เกาะ ที่มีความสวยงาม มีชายหาดสีขาว อุดมไปด้วยทรัพยากรทางทะเล เช่น ปะการัง บริเวณเกะต่างๆมีสถานที่น่าสนใจ เช่น ถ้ำบัวบก บนเกาะวัวตาหลับ ทะเลในที่เกาะแม่เกาะ เป็นต้น ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 21 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2523 การเดินทางไปยังอุทยานฯจากเกาะสมุยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่งโมง 30 นาที อัตราค่าเช่าเหมาเรรือประมาณ 3,000-15,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของเรือและจำนวนผู้โดยสารและยังมีทัวร์ไป-กลับ ในวันเดียวจากเกาะสมุย รายละเอียดติดต่อ บริษัท แอร์ ซี จำกัด โทร.(077)422-262-3 และบริษัท ไฮเวย์ แทรเวล ตลาดหน้าทอน โทร.(077)421-285,421-290

เกาะสมุย
เกาะสมุย ตั้งอยู่บริเวณอ่าวไทย เป็นอำเภอหนึ่งในเขตสุราษฎร์ธานี ห่างจากสุราษฎร์ธานีเป็นระยะทาง 84 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 247 ตารางกิโลเมตร กว้าง 21 กิโลเมตร ยาว 25 กิโลเมตร ถนนโดยรอบเกาะยาว 50 กิโลเมตร ชื่อถนนสายทวีราษฎรร์ภักดี ช่วงเวลาที่เหมาะไปเที่ยวพักผ่อน คือ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์- เมษายน ซึ่งคลื่นลมสงบ บนเกาะมีหาดทรายสวยงสมอยู่รอบเกาะแต่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปพักผ่อนกันมาก คือ หาดเฉวงและหาดละไม นอกจาก นี้ยังมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆอีก ได้แก่ น้ำตกหินลาด น้ำตกหน้าเมือง ศูนย์ลิงสมุย หินตาหินยาย พระพุทธรูปใหญ่ สวนผีเสื้อ และสนามชนควาย


การเดินทางไปเกาะสมุย มีเรือโดยสารหลายชนิดให้บริการ เรือเร็วออกท่าเรือท่าทอง ใช้เวลา 3 ชั่วโมง เรือเฟอรี่ออกจากท่าเรือดอนสัก ใช้เวลา 2 ชั่วโมง (สามารถนำรถยนต์ข้ามที่ท่านี้ได้ด้วย) และเรือนอนออกจากท่าเรือบ้านดอนใช้เวลา 7 ชั่วโมง


เกาะเต่า
เกาะเต่า มีอดีตคล้ายเกาะตะรุเตา ซึ่งเกาะแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งเรือนจำนักโทษการเมือง พ.ศ.2475 (กบฏบวรเดช)หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมา ได้ยกเลิกพร้อมขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุจนถึง พ.ศ.2490 เริ่มมีผู้คนมาอาศัย ทำสวนมะพร้าวและจับปลาไปขายที่เกาะพะงันและที่ชุมพร ตอนนั้น สินค้าประเภทปลาเค็มจากเกาะเต่ามีชื่อเสียงมาก จนถึงช่วง พ.ศ.2520 เป็นต้นมา เกาะสมุยและเกาะพะงันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมในหมู่ผู้มาเยือนจากแดนไกล เริ่มมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเกาะเต่า เนื่องจากเกาะนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีน้ำใส มีกองหินใต้น้ำหลายแห่ง และมีแนวปะการังเกือบรอบเกาะ สมุทรสัญจร จึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกิจกรรมการดำน้ำแบบ scuba ในปัจจุบัน เกาะเต่ากลายเป็นจุดที่มีการ สอนดำน้ำมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นจุดดำน้ำลึกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไป

เกาะเต่ามีพื้นนที่ 21 ตร.กม. ยาว 7.5 กม. กว้าง 4.5 กม. จัดเป็นตำบลแบ่งการปกครองเป็น 3 หมู่บ้าน ได้แก่
หมู่ที่ 1หาดทรายรี อยู่ทางทิศตะวันตก เป็นชายหาดที่ยาวที่สุดของเกาะเต่า ระยะทาง 1.9 กม. มีแนวปะการังตลอดชายฝั่ง ปะการังส่วนใหญ่เป็นปะการังก้อน มีปลาน้อยมาก เหมาะสำหรับฝึกดำน้ำแบบ snorkelling และ scuba นอกจากนี้ยังมีหิน จปร.สลักพระปรมาภิไธยย่อของรัชกาล ที่ 5 ที่ในอนาคตอาจมีการจัดทำสวนหย่อม บริเวณนี้ยังมีรีสอร์ทริมฝั่งโดยตลอด พร้อมถนนคอนกรีตและถนนลูกรังขนานกับหาด
หมู่ที่ 2 แม่หาด เป็นที่ตั้งของท่าเรือ มีตลาด ร้านค้า มีหาดทรายเล็กๆ และเนินเขาเตี้ยๆ สามารถขึ้นไปชมวิวได้ ปัจจุบันเป็นแหล่งชุมชนสำคัญ
หมู่ที่ 3 โฉลกบ้านเก่า มีชายหาดยาวโค้ง มีแนวปะการังด้านนอกพร้อมจุดชมวิว ติดต่อไปถึงอ่าวเทียนนอก อยู่ทางตอนใต้ มีแนวปะการังในอ่าวเล็กๆ อยู่ในสภาพดีกว่าบริเวณหาดทรายรีและแม่หาด
รอบเกาะเต่ายังมีจุดเที่ยวแบบสมุทรสัญจรอีกหลายแห่ง เช่น อ่าวโตนด อ่าวม่วง แหลมเทียน และเกาะกงทรายแดง จัดเป็นแหล่งดำน้ำแบบ snorkelling ที่นิยมกันมาก เพราะยังมีแนวปะการังน้ำตื้น สวยกว่าบริเวณใกล้แหล่งชุมชน
เกาะนางยวนหรือเกาะหางเต่า อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แบ่งเป็นเกาะเล็กๆ 3 เกาะ แต่มีสันทรายเชื่อมติดกัน รอบด้านเป็นแนวปะการังน้ำตื้นที่อยู่ในสภาพดี เหมาะสำหรับการมาดำน้ำแบบ snorkelling แต่รีสอร์ทบน เกาะจะเก็บค่าขึ้นเกาะ จึงไม่ควรขึ้นชายหาดหากไม่จำเป็น ในอนาคตอาจมีการสร้างท่าเรือที่เกาะนี้

Doraemon โดเรม่อน


Doraemon : โดเรม่อน
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2512 เป็นวันที่เริ่มต้นพิมพ์หนังสือการ์ตูนเรื่อง "Doraemon" ในประเทศญี่ปุ่น โดยจินตนาการของนักเขียนชาวญี่ปุ่นสองคน ที่ใช้นามปากการ่วมกัน ว่า ฟูจิโกะ ฟุจิโอะ โดยตัวการ์ตูนจะเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ศตวรรษที่ 22 ซึ่งจินตนาการให้เป็นแมวตัวกลมๆ มีความสามารถพิเศษ และกระเป๋าวิเศษที่บรรจุของมากมาย จุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ชาย ที่ขี้แย ไม่เอาไหน คนนึง และสอดแทรกคติธรรมเข้าไป ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก
ชื่อโดราเอมอน มาจากคำว่า...โดราเนโกะ แปลว่า แมวหลงทาง เอมอน เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อน โดราเอมอน เกิดขึ้นโดยความบังเอิญในขณะที่ 2 นักเขียนการ์ตูนชื่อฮิโรชิ ฟูจิโมโต และโมโตโอะ อาบิโกะขณะที่กำลังจินตนาการ สร้างการ์ตูนตัวใหม่ด้วยความลำบาก และกดดัน เนื่องจากเหลือเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะถึงกำหนดส่งต้นฉบับ บังเอิญเหลือบเห็นตุ๊กตาของลูกสาว ทำให้นึกต่อไปถึงตุ๊กตา แมว ล้มลุก และกลายเป็นโดราเอมอนในที่สุด
การ์ตูนเรื่องโดเรม่อน มีจุดเด่นในเรื่องของจินตนาการ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ในโลกอนาคต ที่ผู้อ่านทั่วไปคาดไม่ถึง จากปลายปากกาของ อ. ทั้งสอง ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมทั้งสอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเข้าไปในตัวการ์ตูน แบ่งลักษณะนิสัยของคนออกมาในแต่คาแร็คเตอร์ได้อย่างลงตัว เหมือนกับนำเอาชีวิตจริงของผู้อ่านเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ์ตูนด้วย ดังนั้นการ์ตูนเรื่องนี้จึงเป็นที่นิยม อ่านได้ทุกเพศทุกวัย จนทำให้มีการพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้มากมาย สามารถขายได้ถึง 100 ล้านเล่มใน ญี่ปุ่น และแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ถึง 9 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยอีกด้วย นอกจากการ์ตูนแล้ว โดเรม่อน ถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนต์ทางจอเงิน และจอแก้วมากมายหลายตอน โดยฉายครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2524 และฉายที่ประเทศไทยเราครั้งแรก วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2525


ส่วนประกอบต่างๆ ของ โดเรม่อน

ของวิเศษที่โดเรม่อนใช้บ่อยๆ

คอปเตอร์ไม้ไผ่
คัปเตอร์ไม้ไผ่ ทำจากไม้ไผ่ ชื่อภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "Take (ไม้ไผ่) Koputa (คัปเตอร์) " เมื่อจะใช้ก็นำไปวางไว้บนหัวจะทำให้สามารถบินได้ เป็นเครื่องมือที่โนบิตะและโดราเอม่อนใช้เกือบทุกตอนเพราะใช้งานง่ายและไม่ค่อยมีอันตราย สามารถบินได้ในระยะทาง 600 กม. และความเร็วประมาณ 80 กม.ต่อชม. เช่นสามารถใช้บินจากโตเกียวถึงโอซาก้าในเวลาประมาณครึ่งชม.

ประตูสารพัดสถานที่
หากเปิดประตูนี้ออกแล้วพูดชื่อว่าจะไปที่ไหนประตูก็จะเปิดออกไปยังสถานที่นั่นทันที ประตูเป็นประตูไม้ในแบบโบราณ เป็นเครื่องมือที่สะดวกสบายที่สุด ของวิเศษชิ้นนี้ถูกใช้บ่อยๆ ทำให้เราได้เห็นสถานที่ต่างๆ ในการ์ตูนได้มากมายหลายที่ ตามจินตนาการ

ไฟฉายย่อส่วน
รูปร่าง และวิธีใช้คล้าย ๆ กับไฟฉายทั่ว ๆ ไป ใช้สำหรับย่อสิ่งของหรือขยายสิ่งของให้ใหญ่หรือเล็กก็ได้ มีประโยชน์มาก และโดเรม่อนก็นำมาใช้บ่อยๆ อีกด้วย
ไทม์แมชชีน
เครื่องทาม์แม็คชีนเป็นพาหนะที่สามารถใช้เดินทางย้อนเวลาไปอดีต หรือ เดินทางข้ามเวลาไปสู่อนาคตได้ โดยทางเข้าและทางออกจะอยู่ในลิ้นชักโต๊ะในห้องนอนของโนบิตะ โดราเอม่อนและเพื่อนๆ สามารถใช้เดินทางไปอนาคตได้ แต่ว่าเครื่องนี้ก็ไปส่งผิดที่ผิดเวลาบ่อย ๆ

โดเรม่อนในประเทศต่างๆ
โดเรม่อน ในรูปแบบของชนชาติต่างๆ บางคนว่าเป็นเพื่อนของโดเรม่อนในประเทศนั้นๆ เรามาดูว่ามีประเทศไหนบ้าง
โดรานิคอฟ : Doranikov
ประเทศที่เกิด : รัสเซีย อาชีพ : นักแสดง จุดอ่อน : กลัวความหนาวจุดแข็ง: สามารถกลายเป็นหมาป่าเมื่อเห็นวัตถุทรงกลมลักษณะส่วนตัว เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง โดเรนิคอฟ เป็นแมวที่ช้ามากๆ ชอบความเป็นส่วนตัว เขามักจะไม่ค่อยพูดมากเขามักจะเขียนสิ่งที่เขาต้องการพูดลงในเศษกระดาษเท่านั้น

โดรานินโญ่ : Doraninho
ประเทศที่เกิด : บราซิลอาชีพ : นักฟุตบอลมืออาชีพจุดอ่อน : ด้านความจำ จุดแข็ง: วิ่งเร็วลักษณะส่วนตัวเขาเป็นแมวที่เล่นฟุตบอลเก่งระดับมืออาชีพ และจะเล่นฟุตบอลเกือบทุกวัน เขามีความหวังทางด้านความจำของเขา เขามักจะลืม สิ่งต่างๆ แล้วชอบหัวเราะในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่หัวเราะกันเขาวิ่งได้เร็วมาก สมกับที่เป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ

หวังโดรา : Wang Dora
ประเทศที่เกิด : จีน อาชีพ : เลขานุการของโรงพยาบาล จุดอ่อน : ผู้หญิงจุดแข็ง: การเรียน กังฟู เป็นหมอที่ดีลักษณะส่วนตัวเขาเป็นแมวที่ฉลาด เป็นหมอที่ดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น ความสามารถเฉพาะตัวเขาคือกังฟูแต่อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นผู้หญิงเขามักจะเซ่อซ่า ทำอะไรไม่ถูก

เอล-มาทาโดรา : El matadora
ประเทศที่เกิด : สเปน อาชีพ : ทำงานในร้านอาหารฟาสฟูดจุดอ่อน : นอนมากเกินกว่าปกติ เมื่อเขาเหนื่อย จุดแข็ง: แข็งแรง มีกำลังมากลักษณะส่วนตัว เขาเป็นแมวที่หล่อ เขาทำงานในร้านอาหารฟาสฟูด เพราะเขามีพลกำลังมากจึงทำจานแตกบ่อยๆและเขาก็โดนเจ้าของร้านดุบ่อยๆ เช่นกัน เป็นนักสู้วัวกระทิง ชอบพิซซ่า และ อาหารสเปนเป็นที่สุด



วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Winnie The Pooh วินนี่ เดอะ พูห์







Winnie The Pooh !!!

ประวัติหมีพูห์ หมีพูห์ หรือ วินนี-เดอะ-พูห์ ( Winnie-the-Pooh) เป็นตัวละครหมีที่สร้างขึ้นโดย เอ. เอ. มิลน์ และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 14 ตุลาคมค.ศ. 1926 ในหนังสือเรื่อง วินนี-เดอะ-พูห์ และ เดอะเฮาส์แอตพูห์คอร์เนอร์ (1928) เนื้อเรื่องในหนังสือมีลักษณะคล้ายกับ ป่าแอชดาวน์ ในเมือง อีสต์ซัซเซก ในประเทศอังกฤษ โดยชื่อ วินนี มาจากชื่อตุ๊กตาหมีของทหารชาวแคนาดานายหนึ่ง ซึ่งตั้งตามชื่อเมือง วินนีเพก ในประเทศแคนาดา นอกจากหมีพูห์แล้วเพื่อนในป่าที่ได้รับความนิยมได้แก่ พิกเลต ทิกเกอร์ และ อียอร์ ต่อมา วอลต์ดิสนีย์ ได้นำวินนี-เดอะ-พูห์ มาจัดทำและได้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Winnie the Pooh (โดยไม่มีเครื่องหมายขีด) และหมีพูห์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของดิสนีย์ หมีที่ชื่อว่า วินนี่ เดอะ พูห์ เป็นผลงานสร้างสรรค์ของเอ.เอ.ไมลน์ ( A.A.Miline) นักเขียนชาวอังกฤษ มีชื่อเต็มว่า อลัน อเล็กซานเดอร์ ไมลน์ ตำนานของหมีพูห์เริ่มจากการที่ทหารกองทัพแคนาดาได้นำหมีน้อยตัวหนึ่ง ชื่อว่า วินนี่ เพ็ก แก่ประเทศอังกฤษ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของการร่วมรบกันระหว่างกองทัพแคนาดาและอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ( ค.ศ.1914-1918) หมีน้อยตัวนี้ได้ไปอยู่ที่สวนสัตว์กรุงลอนดอน ในปี 1919 ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของชาวลอนดอนมาก รวมถึงหนูน้อยคริสโตเฟอร์ โรบิน ลูกชายของนักเขียนชื่อเอ.เอ.ไมล์น หนูน้อยคริสโตเฟอร์นำชื่อวินนี่ เพ็ก ไปตั้งชื่อตุ๊กตาหมีตัวโปรดว่า วินนี่ เดอะ พูห์ โดยคำว่า “ พูห์” (Pooh) เป็นชื่อของหงส์ในกวีบทหนึ่ง ต่อมาเอ.เอ.ไมลน์ จึงเริ่มเขียนเรื่องราวของวินนี่ เดอะ พูห์ และเพื่อนพ้องของมัน โดยหนังสือวางจำหน่ายเมื่อปีค.ศ.1926 หรือ 74 ปีที่แล้ว กระทั่งปี 1996 ที่ผ่านมา ยอดขายหนังสือสูงถึง 20 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆมากกว่า 25 ภาษา ในขณะเดียวกันวอลต์ ดิสนีย์ ซื้อลิขสิทธิ์หมีพูห์และนำไปสร้างการ์ตูนบนแผ่นฟิล์มในปี 1996 พร้อมกับผลิตภัณฑ์มากมายก่ายกอง ทำให้หมีพูห์เป็นตัวการ์ตูนยอดนิยมอันดับ 2 ของเด็กอเมริกันรองจากมิกกี้ เม้าส์ หมีพูห์รู้ดีว่าเขาต้องการอะไรเมื่อ “ ท้องเริ่มส่งเสียงร้อง” นั่นคือ น้ำผึ้งไง! อืม... แต่จะทำอย่างไรหากเขาพบเพียงโถเปล่าที่มีน้ำผึ้งเหนียว ๆ ติดอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น “ งั้นเราก็ต้องช่วยจัดการให้โถเกลี้ยงเร็ว ๆ หน่ะสิ” เจ้าหมีสมองเล็ก (แต่บางครั้งก็ฉลาดล้ำลึก) ตัวนี้อาจพยายามหลอกเจ้าผึ้งขี้สงสัยว่ าตัวเขาคือเมฆฝนสีดำก้อนใหญ่ หรือถ้าคิดอีกที การแวะไปบ้านกระต่ายเพื่อหาขนมหวานทานดูจะเป็นเรื่องง่ายกว่า ( และเจ็บตัวน้อยกว่าด้วย) แต่ไม่ว่าพูห์จะเลือกทำอะไรก็มักจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ เช่น ติดอยู่ในรูกระต่าย แคบ ๆ และไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวออกมาได้ เป็นต้น แต่ก็นั่นแหล่ะ เขามักจะหาทางออกได้เสมอ เพราะแม้สมองของเขาจะเต็มไปด้วยนุ่น แต่เพื่อนรักของคริสโตเฟอร์ โรบิน หรือที่ใคร ๆ เรียกว่าเจ้าหมีแก่จอมงี่เง่าตัวนี้มีจิตใจที่งดงาม ในชีวิตจริง วินนี่ย์เดอะพูห์ ( หรือที่รู้จักกันในชื่อ เอ็ดเวิร์ดแบร์ ในช่วงแรกเมื่อเขาปรากฏตัวใน ‘When We Were Very Young’ คือ ของเล่นสุดรักสุดหวงของคริสโตเฟอร์ มิลล์ ( ลูกชายของเอ. เอ. มิลล์) ซึ่งได้รับเจ้าหมีน้อยตัวนี้เป็นของขวัญครบรอบหนึ่งขวบของเขาใน ปี 1921 ปัจจุบัน วินนี่ย์เดอะพูห์ถูกจัดแสดงให้แฟน ๆ ของการ์ตูนเรื่องดังกล่าวได้ชมกันที่ Children’s Reading Room ใน New York Public Library บนถนน West 53rd Street ผู้ให้เสียงสำหรับตัวการ์ตูนตัวนี้ คือ สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ ซึ่งเป็นนักแสดงชื่อดังและนักพากย์ที่สตูดิโอดิสนี่ย์ ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องวินนี่ย์เดอะพูห์ ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องแรกของทางสตูดิโอที่นำวรรณกรรมเยาวชนอันแสนน่ารักของเอ. เอ. มิลล์ ถ่ายทอดสู่แผ่นฟิล์ม วินนี่ย์เดอะพูห์และผองเพื่อน , คริสโตเฟอร์ โรบิน, เจ้าลาอีออร์, นกฮูก, แคงก้า และเบบี้รู รวมถึงกระต่ายและโกเฟอร์ ต้องเผชิญกับฝูงผึ้งและรังน้ำผึ้ง อันแสนหอมหวาน มีการดัดแปลงเรื่องราวดั้งเดิมของเจ้าหมีเท็ดดี้แบร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกตัวน ี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการเพิ่มตัวละครใหม่ นั่นคือ โกเฟอร์ นี่คือภาพยนตร์การ์ตูนพิเศษขนาดสั้นกำกับโดย วูลฟแกงค์ ไรเดอร์แมน ทีมพากย์เสียงโดย สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ ( พูห์) , บรูซ ไรเดอร์แมน (คริสโตเฟอร์ โรบิน), ราล์ฟ ไรต์ (อีออร์), โฮวาร์ด มอร์ริส (โกเฟอร์), บาบาร่า ลัดดี้ (แคงก้า), ฮัล สมิธ (นกฮูก), จูเนียส แมธธิวส์ (กระต่าย) และคลินต์ โฮวาร์ด (รู) ความยาว 26 นาที เซบาสเตียน เคบอตต์ ผู้ดำเนินเรื่อง และเพลงประกอบภาพยนตร์โดย ริชาร์ด เอ็ม. และ โรเบิร์ต บี. เชอร์แมน สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ได้รับคำชมเชยอย่างมากจากการพากย์เสียงเป็นพูห์และเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้หนัง ประสบความสำเร็จ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาคต่ออีก 3 ตอน รวมถึงการนำตอนต่อทั้งหมดออกฉายรวมกันด้วย ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกเป็นวีดีโอในปี
ต้นกำเนิดหมีพูห์ (Winnie-the-Pooh) ประมาณเดือนสิงหาคม ในปี ค.ศ. 1914 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 Harry Colebourn สัตวแพทย์ชาวคานาดา ทำงานประจำที่ Fort Garry Horse ใน Winnipeg ได้ถูกส่งตัวไปประจำการที่อังกฤษ ขณะเดินทางไปอังกฤษ ขบวนรถไฟที่เขานั่งไปต้องหยุดจอดที่ White River ใน Ontario เพื่อเปลี่ยนขบวนใหม่ ระหว่างนั้นเขาได้เห็นชายคนหนึ่งกับลูกหมีสีดำ ณ บริเวณชานชาลาของสถานีรถไฟ โดยที่ลูกหมีตัวนั้นถูกผูกกับที่เท้าแขนของเก้า.....้ที่ชายคนนั้นนั่งอยู่ หลังจากที่ Harry Colebourn พูดคุยกับชายคนนั้นทำให้เขารู้ว่า ชายคนนั้นเป็นนักล่าสัตว์ เขาจึงขอซื้อลูกหมีตัวนั้นในราคา 20 เหรียญสหรัฐ และตั้งชื่อให้มันว่า Winnie เขาได้นำ Winnie ไปอยู่กับเขาที่กองทัพด้วย ซึ่งทุกคนในกองทัพก็ถือว่า Winnie เป็นสัตว์นำโชค ต่อมาเดือนธันวาคม ในปีเดียวกัน กองทัพที่ Harry Colebourn ประจำการอยู่ ต้องย้ายกำลังพลไปที่ประเทศฝรั่งเศส Harry Colebourn ได้ฝาก Winnie ไว้ที่สวนสัตว์ที่กรุงลอนดอน และเขาคาดการณ์ว่าประมาณ 2 สัปดาห์เขาคงจะเสร็จภารกิจ และกลับมารับ Winnie ได้ แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นดังที่เขาคิดไว้ สงครามสงบประมาณปี ค.ศ. 1918 Harry Colebourn กลับมาที่สวนสัตว์***กครั้งเพื่อมารับ Winnie แต่เขาพบว่า Winnie อยู่อย่างมีความสุข ณ สวนสัตว์แห่งนี้ ทั้งคนเลี้ยงและคนที่มาเที่ยวในสวนสัตว์ รักมันมาก เขาจึงตัดสินใจปล่อยให้ Winnie อยู่ที่สวนสัตว์ตามเดิม และมาเยี่ยม Winnie เสมอเมื่อมีโอกาส จนกระทั่ง Winnie เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1934 ส่วน Harry Colebourn ได้กลับมาประจำการอยู่ที่ทำงานเก่าของเขา Fort Garry Horse ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1921 โดยทำหน้าที่เป็นสัตวแพทย์ ประจำกองทัพ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1947 Harry Colebourn และหมี Winnie ที่เขาซื้อมาจากนักล่าสัตว์ A.A. Milne และ Christoper Robin ลูกชาย พร้อมดัวยตุ๊กตาหมี Winnie ในช่วงที่ Winnie ยังมีชีวิตอยู่ในสวนสัตว์ Winnie มีชื่อเสียงมาก อยู่มาวันหนึ่งประมาณปี ค.ศ. 1925 Christoper Robin เด็กชายวัย 5 ขวบได้มาเที่ยวเล่นในสวนสัตว์แห่งนี้ ทันทีที่ Christopher Robin พบกับ Winnie เขาก็เกิดความรักและประทับใจใน Winnie มาก จนถึงกับเปลี่ยนชื่อตุ๊กตาหมีที่ได้จากเพื่อนของพ่อของเขาจาก Edward มาเป็นชื่อ Winnie และความรักของ Christoper Robin ใน Winnie นี่เองที่ไปจุดประกายความคิดของ A.A. Milne (Alan Alexander Milne) พ่อของ Christopher Robin ซึ่งเป็นนักเขียนหนังสือและบทกลอน ให้แต่งนิทานเรื่องเกี่ยวกับ Winnie และเพื่อนขึ้นมา โดยชื่อของหมีในนิทานของเขามีชื่อว่า "Winnie-the-Pooh" โดยคำว่า Winnie มาจากตุ๊กตาหมีของลูกชายของเขาและหมี Winnie ในสวนสัตว์นั่นเอง ส่วนคำว่า Pooh มาจากชื่อของหงส์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณฟาร์มของเขา (Cotchford Farm อยู่ในบริเวณป่า Ashdown ที่ Sussex ประเทศ England) นิทานของเขาจะเล่าถึงการผจญภัยของ Christopher Robin กับ Winnie รวมทั้งสัตว์ที่เป็นเพื่อนของเขาในป่า โดยที่ลักษณะนิสัย ของตัวละครสัตว์ตัวอื่นๆ เช่น Eeyore, Piglet, Tigger, Kanga และ Roo มาจากเหล่าตุ๊กตาสัตว์ของ Christoper Robin ลูกชายของเขา ส่วนลักษณะนิสัยของตัวละครสัตว์ Rabbit และ Owl มาจากสัตว์ที่อาศัยในบริเวณฟาร์ม และภาพประกอบของนิทานทั้งหมด เขียนโดย E. H. Shepard. ปัจจุบันตุ๊กตาของ Christopher Robin ถูกเก็บรักษาไว้ที่ Donnell Library Center ซึ่งเป็นห้องสมุดสาขาหนึ่งของ New York Public Library


PooH เป็นหมีที่น่ารัก เป็นสิ่งที่ใช้แทนความนุ่มนวลและอ่อนโยน พูห์เป็นหมีที่มีสมองอันเล็กน้อยจึงไม่แปลกที่เขาจะไม่ฉลาดในหมู่เพื่อนๆของเขา แต่ก็มีความผูกพันธ์กันเป็นอย่างดี ซึ่งเพื่อนๆได้ยกย่องให้พูห์เป็นผู้นำ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของพูห์กลับเป็นน้ำผึ้งและจะหิวอยู่ได้ตลอด ไม่ว่าสิ่งใดจะเงียบอยู่แต่ท้องของพูห์ก็จะร้องดังขึ้นมาเสมอ






Tigger เสือที่ใช้หางของตัวเองกระโดดไปไหนมาไหนได้เหมือนกับสปริง ในตัวของ Tigger เต็มไปด้วยความสนุกสนานอย่างที่สุด เขามักจะแชร์ความสนุกกับ
เพื่อนของเขาเสมอ แต่ยว้นกับ Rabbit ที่เขาไม่ค่อยอยากจะสนุกด้วย Tigger เป็นเสือที่ชอบใช้คำพูดที่ผิดๆโอ้อวดพูดอะไรเกินจริง เป็นตัวป่วนที่สุดในหมู่เพื่อนชอบทำตัวเป็นผู้รู้และชอบเป็นนักสืบ





Piglet หมูน้อยผู้อ่อนโยนและถ่อมตัว เป็นหมูที่ตัวเล็กมากแต่ใจของเขาไม่ได้เล็กด้วย เขาใจกว้างในหมู่เพื่อน Piglet ไม่ค่อยที่จะกระตือรือร้นที่จะทำอะไรซักอย่างชอบพูดติดอ่างในบางครั้ง และกลัวในสิ่งที่ยังไม่รู้แน่ว่ามันเป็นอะไร เขารักเพื่อนๆของเค้ามากโดยเฉพาะหมีพูห์ และยังมีอารมณ์เป็นศิลปินด้วยชอบร้องเพลงและแต่งกลอนให้เพื่อนๆฟัง






Eeyore เป็นลาที่ดูเซื่องๆ ไม่เคยคาดหวังอะไรจากคนอื่นและตัวเอง จึงมีแต่เพื่อนของเขาที่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ ความฝันของเขาเป็นสิ่งที่เวอร์สุดๆการแสดงออกทางอารมณ์เมื่อดูที่สีหน้าของเขาก็จะรู้ทันทีว่าเขารู้สึกอย่างไร Eeyoreถ้าดูภายนอกก็แค่ลาสีเทาตัวหนึ่ง แต่ภายในจิตใจของเขาเต็มไปดวยความเอื้ออารี ให้ความช่วยเหลือคนอื่นด้วยความเต็มใจเสมอ และมีโอกาสทำพลาดน้อยมาก




Rabbit เป็นกระต่ายที่ขยันมาก เขามีที่ดินที่เขาใช้ปลูกพืชผักของเขากว่า25ไร่ เขาจะหวงพื้นที่นี้ที่สุด ห้ามใครเข้าใกล้ก่อนได้รับอนุญาติเด็ดขาดวันๆ เอาแต่ดูแลสวน Rabbit เป็นกระต่ายที่ทะนงในความคิดของตัวเองที่สุดชอบแสดงตนเป็นผู้รู้ที่สุดและก็มักจะผิดพลาดเสมอ แต่เขาก็ยอมรับกับความผิดพลาดของเขา เป็นกระต่ายที่ตื่นตูม แต่เขาก็รักเพื่อนของเขาที่สุด






Roo เป็นจิงโจ้ที่เด็กที่สุดในหมู่เพื่อนๆ เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาที่สุด สนุกไปวันๆ อยากรู้อยากเห็น การค้นพบอะไรซักอย่างเล็กๆน้อยๆคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา แสดงออกด้านความรักกับแม่ของเค้าอย่างชัดเจนและมักเห็นอกเห็นใจคนอื่นเสมอ เขามีเพื่อนที่สนิทที่สุดคือLumpy เขาเข้ากันได้เป็นอย่างดี สร้างความปวดหัวให้กับเพื่อนๆและพูห์เสมอ




LumpyLumpy ช้างน้อย เพื่อนสนิทของ Rooพวกหมีพูห์คิดว่า Lumpy เป็นสัตว์ร้ายตัวโตที่จะมาเอาชีวิตของพวกเค้า เพราะด้วยการพูดของTigger ซึ่งจริงๆ แล้วก็ยังไม่มีใครได้เห็นตัวจริงของ Lumpy เห็นแต่เพียงร่องรอยที่ Roo กับLumpy ทำเสียหายไว้หลังจากการเล่นสนุกLumpy เป็นช้างน้อยที่ไร้เดียงสาพอๆกับ Rooเล่นสนุกไปวันๆ จิตใจกล้าหาญเกินตัว ชอบแสดงละครและร้องเพลง